ทุกวันนี้โลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านการเงินที่เป็นไปแบบสังคมไร้เงินสด การเปลี่ยนแปลงด้านการทำงานเป็นรูปแบบ work from home หรือการเปลี่ยนแปลงด้านการทำธุรกิจที่เน้นกระทำทุกอย่างทางออนไลน์หรือการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ที่มีทั้งเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้อง หรือผู้คนต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตเพื่อดิ้นรนให้ใช้ชีวิตทันกับการเปลี่ยนแปลงให้ได้ ซึ่งทุก ๆ กิจกรรมที่ต้องปรับตัวล้วนมีความเสี่ยงต่อชีวิตเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น ประกันสุขภาพ จึงถือเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของการรักษาพยาบาลหากเกิดเหตุการณ์ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลได้ วันนี้เราจะมารู้ให้รอบเกี่ยวกับเรื่อง ประกันสุขภาพ กัน
ประกันสุขภาพ คืออะไร? มีความจำเป็นต้องทำหรือไม่?
ประกันสุขภาพ คือการที่ผู้ทำประกันจะได้รับความคุ้มครองหรือเงินชดเชยค่ารักษาพยาบาลจากบริษัทที่ทำประกันภัย ไม่ว่าการรักษานั้นจะเกิดจากการเจ็บป่วยจากโรคภัยหรืออุบัติเหตุก็ตาม
ประกันสุขภาพแบ่งออกเป็น 5 ประเภท
- ประกันสุขภาพ ผู้ป่วยนอก (OPD) คือ เงื่อนไขประกันสุขภาพ ที่ให้ความคุ้มครองกรณีที่ผู้เอาประกันภัยต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลแต่ไม่ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ง่าย ๆ ก็คือเป็นการเจ็บป่วยไม่รุนแรง เช่น ไข้หวัด หรือประสบอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย เช่น มีดบาดเป็นต้น
- ประกันสุขภาพ ผู้ป่วยใน (IPD) คือ เงื่อนไขประกันสุขภาพ ที่ให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันภัยที่เจ็บป่วยโดยได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้ต้องมีการรักษาตัวที่โรงพยาบาลติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง รวมถึงสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลที่รับตัวผู้ป่วยไว้แต่เสียชีวิตก่อน 6 ชั่วโมงด้วย
- ประกันสุขภาพ โรคร้ายแรง (ECIR) คือแผนประกันที่ให้ความคุ้มครองโรคร้ายแรงที่ต้องได้รับการรักษาเฉพาะทางที่ซับซ้อน ต้องมีการใช้เครื่องมือแพทย์เฉพาะทาง รวมถึงใช้ระยะเวลาในการรักษาพยาบาลนานและมีค่าใช้จ่ายสูง เช่น กลุ่มโรคมะเร็งและเนื้องอก หรือกลุ่มโรคที่เกี่ยวกับสมองและหลอดเลือด ประกันสุขภาพที่คนรุ่นใหม่ควรรู้
- ประกันสุขภาพ อุบัติเหตุ (PA) คือแผนประกันที่ให้ความคุ้มครองเมื่อผู้เอาประกันภัยเกิดอุบัติเหตุและได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย ส่งผลให้ผู้เอาประกันต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นเพียงแค่เจ็บป่วยเล็กน้อย ทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
- ประกันชดเชยรายได้ คือแผนประกันที่ให้การชดเชยรายได้ให้ผู้เอาประกันภัยในขณะที่ต้องทำการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ด้วยการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นรายวันให้ผู้เอาประกันภัยเนื่องจากไม่สามารถทำงานได้
เมื่อเรารู้จักประเภทของประกันสุขภาพแล้ว คำถามต่อมาคือจำเป็นต้องทำหรือไม่ คำตอบคือแล้วแต่ความสมัครใจของแต่ละคน แต่อย่างที่ทราบกันคือทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลด้วยโรคแต่ละชนิดก็มีอัตราที่สูงต่ำต่างกัน คนที่มีการวางแผนออมเงินก็อาจแบ่งเบาภาระด้านนี้ได้หากต้องมีการเข้ารับการรักษาพยาบาลจริง แต่กับคนที่ไม่มีเงินออมหากชีวิตเกิดความเสี่ยงขึ้นมา อย่างน้อยการทำประกันสุขภาพไว้ก็ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายเมื่อต้องรักษาพยาบาลได้มากพอสมควร
ควรพิจารณาอะไรก่อนตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพ
ปัจจัยที่ควรคำนึงถึงเมื่อต้องการซื้อประกันสุขภาพประกอบด้วย
- เบี้ยประกันสุขภาพ
- เบี้ยประกันสุขภาพ คือเงินที่ผู้เอาประกันจ่ายให้กับบริษัทประกันภัยเพื่อซื้อความคุ้มครอง ซึ่งปัจจัยในการกำหนดอัตราเบี้ยประกัน จะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงในแต่ละช่วงอายุ เช่นถ้ายังเป็นเด็กเบี้ยประกันจะสูงเพราะเด็กมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ นอกจากนี้ปัจจัยเรื่องเพศ สุขภาพ อาชีพ การดำเนินชีวิตก็มีส่วนต่อค่าเบี้ยด้วย เช่นคนที่ทำงานในโรงงานก็มีโอกาสเสี่ยงต่ออุบัติเหตุได้มากกว่า
- วงเงินและการคุ้มครอง
- ควรต้องพิจารณาถึงวงเงินคุ้มครองในแต่ละหมวดของการรักษาพยาบาลเพราะหากเราเกิดอุบัติเหตุแต่ไม่ได้อยู่ในความคุ้มครองก็ไม่สามารถเรียกร้องเงินชดเชยได้อยู่ดี
- ความเสี่ยง
- ในที่นี้หมายถึงเรื่องสุขภาพส่วนตัว กรรมพันธุ์หรือโรคประจำตัว เนื่องจากประกันแต่ละบริษัทให้ความคุ้มครองไม่เหมือนกัน
- ความสามารถในการจ่ายค่าเบี้ย
- เนื่องจากต้องมีการชำระค่าเบี้ยจนครบอายุสัญญาผู้เอาประกันจึงสามารถได้รับความคุ้มครอง
ข้อดี-ข้อเสียของการทำประกันสุขภาพมีอะไรบ้าง
ข้อดี
- สิทธิประกันสุขภาพ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายกรณีที่ผู้เอาประกันต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทั้งการเจ็บป่วยจาอุบัติเหตุและด้วยโรคภัย
- สิทธิประกันสุขภาพ ให้ความคุ้มครองค่าใช้จ่ายด้านการผ่าตัดและต้องเข้ารับการปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการผ่าตัด
- ให้ความคุ้มครองเมื่อต้องพบแพทย์หรือรักษาในคลินิกที่มีค่าใช้จ่าย
- ให้ความคุ้มครองด้านการชดเชยรายได้เมื่อไม่สามารถทำงานได้เพราะต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาล
ข้อเสีย
- เป็นการประกันความเสี่ยงของสุขภาพในอนาคตที่ไม่ได้รับเงินปันผลคืน
- ค่าเบี้ยประกันขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิต
- ต้องตรวจสุขภาพอย่างละเอียดก่อนการทำประกัน
- ค่าเบี้ยสูงกว่าประกันชีวิตเมื่อต้องการคุ้มครองโรคร้ายแรง
เช็คสิทธิ์ประกันสุขภาพอย่างไร?
เมื่อผู้เอาประกันต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลสามารถยื่นบัตรประจำตัวของบริษัทที่ทำประกันได้ที่เคาน์เตอร์พยาบาล กรณีไม่ต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลจะได้รับการชดเชยตามจำนวนที่ซื้อประกันไว้ต่อครั้ง แต่หากต้องมีการนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่จะทำการเช็คสิทธิ์ประกันกับบริษัทประกันและชี้แจงให้ผู้เอาประกันภัยทราบความคุ้มครองในแต่ละส่วนที่เบิกเคลมได้ก่อนการให้กรอกแบบฟอร์มและเข้าทำการรักษา
เบี้ยประกันสุขภาพตนเองใช้ลดหย่อนภาษีได้ ต้องทำอย่างไร?
เบี้ยประกันสุขภาพ ลดหย่อนภาษี ได้ตามจริงสำหรับคนที่ประกันสุขภาพตัวเอง แต่ต้องไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตทั่วไปและเงินฝากแบบมีประกัน จะต้องไม่เกิน 100,000 บาท

เลือกประกันสุขภาพแบบไหนให้คุ้มค่า
- ลองนึกภาพว่าหากเราต้องนอนโรงพยาบาล เราจะต้องเบิกค่าอะไรได้บ้าง เช่น ค่าห้องและค่าอาหาร ค่าพบแพทย์ หรือค่าผ่าตัด
- เช็คอัตราค่ารักษาพยาบาลกับโรงพยาบาลที่รักษาประจำว่าอัตราการรักษาแต่ละเคสมีค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่
- พิจารณาส่วนต่างระหว่างข้อ 1 กับข้อ 2 ว่าประกันให้ความคุ้มครองเท่าไหร่ บางครั้งการซื้อประกันแบบเหมาที่ดูที่วงเงินประกันเป็นหลักโดยไม่ได้แยกหมวดหมู่ความค้าครองอาจคุ้มค่าต่อการเลือกซื้อประกันสุขภาพที่เหมาะสมกับเรามากกว่า
- เลือกประกันสุขภาพให้ลูก เลือกประกันชีวิตผู้สูงอายุ
ทั้งหมดนี้ก็คือสิ่งที่เราควรต้องทราบเกี่ยวกับการทำประกันสุขภาพ ซึ่งไม่ว่าใครจะใช้ปัจจัยในการพิจารณาก่อนทำประกันสุขภาพแบบใด เช่น ใช้ เบี้ยประกันสุขภาพ ลดหย่อนภาษีได้ หรือควรซื้อแบบที่ให้ความคุ้มครองทั้ง OPD และ IPD ก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงในการใช้ชีวิตของแต่ละคน แต่อย่างน้อยการมีประกันสุขภาพไว้ก็ถือเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้ ในเมื่อเราก็ไม่รู้หรอก ว่าชีวิตเราจะตกอยู่ในเหตุการณ์ที่ต้องเข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาลเอาวันไหนใช่ไหมล่ะ?