หากพูดถึงเรื่องของความมั่นคงในชีวิต บางคนนึกถึงความมั่นคงในหน้าที่การงาน บางคนก็ให้ความสำคัญกับเรื่องของรายได้เป็นหลัก ทว่าสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามเกี่ยวกับเรื่องของความมั่นคงในชีวิตก็คือ การสร้างหลักประกันให้กับตนเองและครอบครัว อันเนื่องมาจากความเสี่ยงหรือสิ่งที่ไม่คาดคิดจากการใช้ชีวิตประจำวัน นั่นคือการทำประกันชีวิต เพราะประกันชีวิตเปรียบเสมือนเกราะคุ้มภัยในระยะยาวไปตลอดของช่วงชีวิต วันนี้เรามาทำความรู้จักกับประกันชีวิตกัน
รูปแบบของประกันชีวิตและข้อดีข้อเสีย
ประกันชีวิตมีทั้งหมด 4 รูปแบบ แต่ละแบบให้ความคุ้มครองและผลประโยชน์ต่างกันไป รวมทั้งมีข้อดีและข้อเสียดังต่อไปนี้
- แบบตลอดชีพ คือการทำประกันชีวิตแบบคุ้มครองตลอดชีวิตของผู้เอาประกันภัย โดยเฉลี่ยจะจ่ายค่าเบี้ยประมาณ 15 – 20 ปี หรือจ่ายค่าเบี้ยประกันจนถึงอายุ 90 – 99 ปี
- ข้อดี: เป็นเงินทุนสำหรับการเจ็บป่วยครั้งสุดท้ายหรือค่าทำศพ และเป็นเงินทุนให้สำหรับครอบครัวเมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิต
- ข้อเสีย: ชำระค่าเบี้ยระยะยาวและหากเปรียบเทียบผลประโยชน์ไม่ดีอาจทำให้ต้องจ่ายค่าเบี้ยแพงเกินความจำเป็น
- แบบสะสมทรัพย์ คือการทำประกันชีวิตที่จะได้รับเงินเอาประกันภัยเมื่อครบกำหนดอายุสัญญาหรือบริษัทจ่ายเงินประกันภัยให้กับผู้รับผลประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตเมื่อยังไม่ครบกำหนดสัญญา
- ข้อดี: เป็นการออมเงินที่มีผลตอบแทนแน่นอนและมีเงินก้อนไว้ใช้เมื่อครบกำหนดสัญญา
- ข้อเสีย: ทุนประกันต่ำและผลตอบแทนไม่สูงมากนัก
- แบบชั่วระยะเวลา เป็นการทำประกันชีวิตที่ผู้รับผลประโยชน์จะได้รับเงินเมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิต
- ข้อดี: เงินคุ้มครองชีวิตสูงและเบี้ยประกันถูก
- ข้อเสีย: คุ้มครองชีวิตอย่างเดียวและไม่ได้รับเงินคืนหากไม่เสียชีวิต
- แบบเงินได้ประจำ เป็นการทำประกันชีวิตแบบจ่ายเงินจนกว่าจะเกษียณและเมื่อครบกำหนดจะได้เงินมาใช้เรื่อย ๆ จนเสียชีวิต
- ข้อดี: มีเงินไว้ใช้ยามเกษียณ
- ข้อเสีย: ผลตอบแทนต่ำและเงินที่ได้รับอาจน้อยกว่าที่จ่ายไป
ประโยชน์ของการทำประกันชีวิต
แบ่งออกได้เป็น 4 ประเด็นหลัก ๆ คือ
- ด้านการออมคือเมื่อผู้ประกันภัยจ่ายค่าเบี้ยสม่ำเสมอก็จะได้รับเงินคืนเมื่อครบกำหนดอายุสัญญาถือว่าได้มีเงินก้อนไว้ใช้จ่ายในอนาคต
- ด้านการสร้างความมั่นคงให้ชีวิต กรณีทำประกันคุ้มครองการเจ็บป่วยและอุบัติเหตุจะได้รับเงินชดเชยเพื่อใช้ในการเลี้ยงชีพ
- ให้ความคุ้มครองและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้รับผลประโยชน์ เพราะผู้รับผลประโยชน์จะได้รับเงินก้อนเพื่อไว้ใช้ในครอบครัวเมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิต
- สิทธิประโยชน์ด้านภาษี เนื่องจากสามารถนำค่าเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีได้
เริ่มต้นประกันชีวิตทำอย่างไร
เพื่อผลประโยชน์ของผู้ทำประกันชีวิตควรดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ติดต่อบริษัทประกันหรือผ่านนายหน้ารับประกันภัย
- พิจารณาแบบประกันชีวิตที่เหมาะสมกับอายุ ความคุ้มครองและรายได้ รวมถึงความสามารถในการชำระค่าเบี้ยประกันภัย
- แถลงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตนเองในแบบคำขอเอาประกันภัยโดยเฉพาะโดยเฉพาะด้านประวัติการรักษาพยาบาลเพื่อหลีกเลี่ยงการงดเว้นไม่ให้ความคุ้มครอง
- ตรวจสอบความถูกต้องของรายละเอียดในแบบคำขอเอาประกันภัยก่อนลงลายมือชื่อรับรอง
- ชำระค่าเบี้ยตามกำหนดตลอดจนครบอายุสัญญาประกันภัย
- แจ้งให้ผู้รับผลประโยชน์หรือบุคคลในครอบครัวทราบถึงการทำประกันชีวิตและสถานที่เก็บกรมธรรม์
ขั้นตอนและวิธีการเตรียมเอกสารเพื่อขอเคลมประกัน
เมื่อต้องการขอรับผลประโยชน์ให้ดำเนินการดังนี้
- ติดต่อบริษัทประกันภัยโดยเร็ว
- กรณีผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตแยกเป็น 3 ประเภท
ประเภทที่ 1 เสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บต้องแจ้งบริษัทประกันภายใน 14 วันและเตรียมเอกสารดังนี้
-กรมธรรม์ประกันชีวิต
-ใบเสร็จรับเงินงวดสุดท้าย
-ใบมรณบัตรของผู้เอาประกัน
-ทะเบียนบ้านของผู้รับผลประโยชน์
-บัตรประชาชนของผู้รับผลประโยชน์
ประเภทที่ 2 เสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย ให้เตรียมหลักฐานเหมือนกรณีเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บและเพิ่มสำเนาบันทึกประจำวันแจ้งเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจและใบชันสูตรพลิกศพ
ประเภทที่ 3 เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ให้เตรียมหลักฐานเหมือนกรณีเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายและให้เพิ่มสำเนาบันทึกประจำวันหลังกลับจากสถานที่เกิดเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
กรณีเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล ทุพพลภาพและสูญเสียอวัยวะ ต้องแจ้งให้บริษัทประกันทราบภายใน 10 วันและเตรียมหลักฐานดังนี้
- กรอกแบบฟอร์มใบเรียกร้องค่าทดแทนของบริษัท
- ใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาลที่ระบุวันเริ่มต้นและวันสุดท้ายของการรักษาที่โรงพยาบาล
- เอกสารประกอบอื่น ๆ เช่น ฟิล์มเอ็กซเรย์
กรณีกรมธรรม์ครบกำหนด – หากเป็นการทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่มีเงินคืนเมื่อครบกำหนดให้ดำเนินการดังนี้
- ติดต่อบริษัทประกัน
- เตรียมกรมธรรม์ประกันชีวิต
- บัตรประชาชนของผู้เอาประกันภัย
วิธีที่ผู้รับผลประโยชน์ต้องทำเมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต
เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ทางโรงพยาบาลจะมีการแจ้งไปยังบริษัทประกันภัยหรือสถานีตำรวจ จากนั้นบริษัทประกันจะทำการเช็ครายละเอียดในกรมธรรม์และติดต่อผู้รับผลประโยชน์ที่ถูกระบุชื่อไว้หรือหากญาติทราบว่าผู้เสียชีวิตมีการทำประกันชีวิตไว้ ญาติจะต้องหาบัตรประจำตัวผู้เอาประกันและกรมธรรม์ประกันชีวิตมาประกอบการติดต่อบริษัทและเตรียมเอกสารเพื่อขอเคลมประกันประกอบด้วย
- ใบมรณบัตรต้นฉบับ
- ทะเบียนบ้านต้นฉบับของผู้เอาประกันภัย
- บัตรประชาชนต้นฉบับของผู้เอาประกันภัย
- ทะเบียนบ้านต้นฉบับของผู้รับผลประโยชน์
- บัตรประชาชนต้นฉบับของผู้รับผลประโยชน์
- กรมธรรม์ประกันชีวิต
- สำเนาบันทึกประจำวันที่ออกโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ
- แบบฟอร์มเรียกร้องสินไหมมรณกรรม
หากผู้เสียชีวิตไม่แจ้งข้อมูลใด ๆ ต่อญาติไว้เลย ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้เสียชีวิตสามารถยื่นคำร้องขอให้ตรวจสอบการทำประกันที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพื่อยื่นคำร้องได้
ประกันชีวิตกับประกันสุขภาพแตกต่างกันอย่างไร
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับประกันทั้ง 2 ประเภทก่อน โดยประกันชีวิตคือการทำประกันที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเมื่อเสียชีวิตหรือเนื่องจากการมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญาเท่านั้น ส่วนประกันสุขภาพคือสัญญาเพิ่มเติมจากกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองด้านการรักษาพยาบาลและเงินชดเชยรายได้เมื่อต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเท่านั้น นั่นหมายความว่าประกันชีวิตกับประกันสุขภาพให้ความคุ้มครองและการชดเชยแตกต่างกัน
การยกเลิกประกันชีวิตเมื่อยังไม่ถึงกำหนดทำได้หรือไม่
หากต้องการยกเลิกประกันชีวิตโดยที่ไม่เสียผลประโยชน์จะต้องขอยกเลิกภายใน 15 วันหลังจากเซ็นต์รับเอกสารกรมธรรม์ ซึ่งจะได้รับเงินที่ชำระไปคืนขาดเพียงแค่ค่าธรรมเนียมบ้าง แต่หากเกินกว่า 15 วันถ้าอยากยกเลิกต้องรอให้พ้นระยะเวลาที่กรมธรรม์ระบุไว้เสียก่อน (อาจเป็น 1 ปีหรือ 2 ปีก็ได้) ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้รับเงินประกันคืนเลย แต่ถ้าหากมีความจำเป็นต้องยกเลิกประกันชีวิตให้เวนคืนกรมธรรม์ซึ่งจะได้รับเงินเวนคืนน้อยกว่าค่าเบี้ยประกันที่จ่ายไปทั้งหมด ส่วนจะได้เท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับตารางการเวนคืนกรมธรรม์ที่แต่ละบริษัทกำหนดไว้
ค่าเบี้ยประกันชีวิตควรอยู่ที่เท่าไหร่
ก่อนการทำประกันชีวิตควรพิจารณาความสามารถในการชำระค่าเบี้ยประกันของตนเอง ค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 10% – 15% ของรายได้ต่อปี เช่น มีรายได้ต่อปี 180,000 บาท ค่าเบี้ยประกันควรอยู่ระหว่าง 18,000 – 27,000 บาท/ปี
มีสวัสดิการของบริษัทอยู่แล้วยังต้องทำประกันชีวิตหรือไม่
คำตอบคือยังคงต้องสมควรซื้อประกันชีวิตอยู่ เพราะเงินเดือนส่วนเงินเดือนเป็นรายได้คงที่ซึ่งไม่เหมือนกับการเก็บออม สำหรับสวัสดิการที่ได้ความคุ้มครองก็จะได้ไม่สูงเมื่อเทียบกับการซื้อประกันชีวิตเอง ซึ่งถ้าหากต้องการการคุ้มครองควบคู่กับการออมเงินควรซื้อประกันแบบสะสมทรัพย์ แต่หากต้องการความคุ้มครองสูง ๆ ก็ควรซื้อประกันแบบตลอดชีพ
ซื้อประกันไว้ลดหย่อนภาษีควรเลือกแบบไหนดี
ควรแบ่งการพิจารณาออกเป็น 3 ประเด็นคือ
- วัตถุประสงค์ของการซื้อประกัน หากต้องการป้องกันความเสี่ยงและได้เงินคืนควรซื้อแบบสะสมทรัพย์หรือแบบบำนาญ หากต้องการความคุ้มครองสูง ๆ ควรซื้อแบบตลอดชีพ
- เงื่อนไขของการลดหย่อนภาษี ซึ่งประกันแต่ละที่จะมีเงื่อนไขของการลดหย่อนแตกต่างกัน เช่น ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาทต้องมาจากประกันชีวิต + ประกันสุขภาพ 100,000 บาท รวมกับประกันบำนาญ 200,000 บาทเป็นต้น
- โปรโมชั่นที่ทำให้เบี้ยประกันลดลง เช่น ซื้อผ่านบัตรเครดิตได้ส่วนลดเป็นต้น
บริษัททำประกันชีวิตจะชดใช้ให้เมื่อใด
บริษัทประกันจะชดเชยค่าสินไหมให้เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ ซึ่งการขอชดเชยจะเป็นหน้าที่ของผู้แทนหรือผู้รับผลประโยชน์ด้วยการติดต่อไปยังบริษัทประกันภัยโดยเร็วและเตรียมเอกสารให้พร้อม ตามประเภทของการเสียชีวิตของผู้เอาประกัน
ข้อยกเว้นในการชดเชยประกันชีวิต
โดยทั่วไปบริษัทประกันภัยจะงดเว้นการชดเชยค่าสินไหมกรณีผู้รับผลประโยชน์ฆ่าผู้เอาประกันภัย และผู้เอาประกันภัยฆ่าตัวตายภายใน 1 ปีนับจากวันที่ทำสัญญาหรือวันต่ออายุสัญญาวันสุดท้าย โดยบริษัทประกันจะไม่จ่ายเงินเอาประกันภัยให้แต่จะคืนเบี้ยประกันชีวิตที่ได้ชำระมาทั้งหมดแล้วเท่านั้น
ข้อดีและข้อเสียของการทำประกันชีวิต
สามารถสรุปได้ดังนี้
ข้อดี
- เป็นหลักประกันให้กับคนในครอบครัวเพราะเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันครอบครัวจะได้รับประโยชน์จากเงินชดเชย
- สร้างวินัยในการออมเงิน เนื่องจากต้องชำระค่าเบี้ยอย่างต่อเนื่องตามระยะเวลาที่กำหนดจึงได้รับการคุ้มครองและชดเชย
- การซื้อประกันอื่น ๆ เพิ่มเติมจะได้ค่าเบี้ยประกันที่ถูกกว่า
- สามารถใช้ประโยชน์ด้านการลดหย่อนภาษีได้
ข้อเสีย
- ใช้เวลานานกว่าจะได้เงินคืน ประกันชีวิตบางประเภทต้องใช้ระยะเวลาหลายปีจึงจะได้เงินชดเชย
- มีเงื่อนไขมาก เช่น ข้อกำหนดด้านอายุของผู้เอาประกันหรือข้อกำหนดในการรับเงินคืน
- การเคลมประกันใช้เวลานาน โดยบริษัทประกันจะต้องพิจารณาการคืนเงินจากอายุกรมธรรม์
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับประกันชีวิตที่ทำให้หลายคนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำประกันชีวิตมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะคิดเห็นเป็นอย่างไร อย่างน้อยการได้สร้างหลักประกันให้กับตนเองและครอบครัวคือคำตอบของความมั่นคงในชีวิตที่คุ้มค่า
ที่มาข้อมูล